top of page
ZONA 3.png

BY Psi Drakaz

Decision

 

Chapter 3 : Decision

by Psi Drakaz

ZONA’s Story

“ขอให้เสียงแห่งการเรียกร้องนี้ดังออกไป

ขอให้ท่านได้ยิน ว่าดวงใจจะยังคงไม่สลายหายไป

ขอให้ท่านยังคงอยู่ ในจิต ในกาย ไม่ว่าแห่งไหน

ขอให้ท่านกลับไป ณ ดินแดนที่ท่านจากมา”

 

เสียงทำนอง และบทเพลง ลอยมาตามเกลียวคลื่น โดยการขับร้องของใครคนหนึ่ง

บนโขดหินกลางทะเล นั่งดีดเครื่องดนตรีที่ลักษณะคล้ายพิณที่เรียกว่า XOU’NAZ

เครื่องดนตรีที่ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครได้ยิน เขาทำแบบนี้ทุกคืน ด้วยความหวังที่ว่า

บุคคลที่เขาระลึกถึง จะยังมีชีวิตอยู่ และพร้อมจะกลับมาหาเขา และเหล่าผู้คน 

 

หลังจากขับร้องบทเพลงนั้นแล้ว เขาก็กระโดดลงน้ำไป

รูปร่างของเขาค่อย ๆ กลายเป็นลักษณะเหมือนปลา และว่ายหายลงไปในทะเลลึก

 

ครั้งหนึ่ง ยังมีอาณาจักรที่เกรียงไกร ตั้งอยู่บนเกาะลี้ลับ ไกลออกไปจากผู้คน 

ที่นั่น … มีแต่ความสวยงาม ความสงบสุข ด้วยการปกครองผู้นำที่ดูแลเอาใจใส่ชาวเมืองเป็นอย่างดี

พวกเขาซ่อนตัวจากบุคคลภายนอก ด้วยเวทมนตร์พิเศษที่จะหักเหแสงและการมองเห็น

ทำให้สามารถพรางเกาะทั้งเกาะออกจากการมองเห็น

และการตรวจจับจากเทคโนโลยีอื่น ๆ ได้เป็นอย่างดี

พวกเขาสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้เพราะการหมุนเวียนของทรัพยากรบนเกาะ

อีกทั้งได้รับแสงจากคริสตัลขนาดใหญ่ใจกลางเมือง ที่นอกจากจะให้แสงสว่างแล้ว

ยังช่วยให้พลังงานกับทุกสิ่งที่สร้างจากศิลาศักดิ์สิทธิ์อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นข้าวของเครื่องใช้

ตึกรามบ้านช่อง อาคารใด ๆ ก็จะรับพลังงานทำให้ไม่แตกหัก รวมไปถึงรูปปั้นศิลาขนาดใหญ่

ที่ยืนเรียงรายล้อมเกาะเอาไว้ แม้จะอยู่ในสภาพหลับไหล แต่เมื่อถึงเหตุการณ์คับขัน

พวกศิลาเหล่านั้นจะพึ่งพาได้เสมอ ด้วยคำสั่งจากผู้ปกครองสายเลือดบริสุทธิ์

ที่สืบทอดต่อกันมาเป็นเวลานาน และแต่งตั้งขึ้นครองราชย์ด้วยการคัดเลือกศักสิทธิ์ 

 

ผู้คนขนานนามอาณาจักรนี้ว่า ซูนิค อาณาจักรลับแล

 

ด้วยบ้านเมืองที่มีแบบแปลนที่สวยงาม และเป็นระเบียบสิ่งก่อสร้างจากศิลาศักดิ์สิทธิ์

รูปร่างคล้ายหินอ่อนสีขาวที่มีลวดลายแทรกสีทองสวยงาม ลายสีทองจะส่องแสง

และเรืองรองเมื่อกระทบกับแสงจากคริสตัลยักษ์กลางเมือง

ชาวเมือง หรือ ซูนิแคป (XUNICAP) ต่างใช้ชีวิตอย่างมีความสุขและกระตือรือร้น

ที่จะพัฒนาวิทยาการ ความรู้ เพื่อพัฒนาอาณาจักรอยู่เสมอ 

 

แต่แล้ววันหนึ่ง วันที่ท้องฟ้าแจ่มใส ในวันที่ทุกคนใช้ชีวิตกันตามปกติสุข

จู่ ๆ ก็ปรากฎผู้มาเยือนที่สามารถผ่านม่านหมอกการพรางตัว และเกราะกำบังอาณาเขตเข้ามาได้

เขาขับยานขนาดใหญ่เข้ามา พร้อมกับเริ่มเปิดฉากโจมตีเมืองอย่างไม่มีใครทันระวังตัว

ยานลำเล็กอีกมากมายกระจายตัวออกจากยานลำใหญ่

และโจมตีเมืองอย่างไม่มีสัญญาณการแจ้งเตือนใด ๆ

 

จักรพรรดินีผู้ปกครองพยายามค้นหาสาเหตุและผู้มาเยือนว่าเป็นใคร

และทำให้รู้ว่า หนึ่งในบุคคลผู้นำการโจมตีนั้น เป็นบุคคลภายนอก

หรือที่เหล่าชาวเมืองซูนิคเรียกกันว่า “พวกคนพื้น หรือพวกชายฝั่ง”

ผู้ซึ่งเคยได้รับการช่วยเหลือจากเหตุการณ์เรือล่มเมื่อหลายปีก่อน

ครั้งนี้เขากลับมา เพื่อจู่โจม เมืองที่เคยช่วยชีวิตของเขาไว้

และพยายามที่จะแย่งชิงอะไรบางอย่างไป …

 

เหล่าทหารซูนิค ที่เรียกว่า ซูนิเซลิม (XUNI’ CELIM) และองครักษ์ซูนิไซเกอร์ (XUNI’ CIGER)

บางส่วนรวมกำลังและพร้อมจะต่อสู้กลับทันที นำโดยจักรพรรดินี

ผู้ซึ่งกำลังสื่อสารกับคริสตัลใจกลางเมือง ให้ปลุกเหล่าศิลาผู้ปกป้องอาณาจักร

เธอฝากที่ปรึกษาและนักกวีคนสนิทให้ดูแลทายาทของเธอ พร้อมกับออกไปต่อสู้

แต่ดูเหมือนผู้มาเยือนจะรู้เรื่องราว และวีธีการรับมือของชาวซูนิคเป็นอย่างดี

 

เจ้าหญิงของเมือง เห็นเรื่องราวที่เกิดขึ้น ก็ไม่อาจนิ่งเฉยได้ เธอรีบเดินออกจากท้องพระโรงในทันที

โดยไม่สนใจการห้ามปรามของเหล่าขุนนาง และที่ปรึกษาคนสนิทของจักรพรรดินี

เธอใช้ทักษะการต่อสู้ของเธอ ฝ่ากองกำลังที่ห้ามเธอไม่ให้ออกไป จนกระทั่งได้ออกมาเห็นกับตา

ความพินาศของสงคราม และการโจมตีของพวกคนพื้นที่มาเยือน

 

เธอส่งสัญญาณเรียกพาหนะของเธอและเข้าต่อสู้ทันที

ในขณะที่กองกำลังอีกฝ่ายมากขึ้นเรื่อย ๆ

จักรพรรดินีมองเห็นราชธิดากำลังต่อสู้ด้วยความหุนหันพลันแล่น ก็รีบเข้าไปห้าม

และพยายามให้เหล่าทหารไม่ทำร้ายใครจนถึงแก่ชีวิต

เพียงแต่ทำให้เคลื่อนไหวไม่ได้ และจับพวกเขาไว้เพื่อสอบสวนภายหลังเท่านั้น

 

เจ้าหญิงไม่เห็นด้วยและพยายามจู่โจมยานลำหนึ่งที่ลอยอยู่ เธอกระโจนขึ้นไปอย่างไม่เกรงกลัว

และได้ใช้อาวุธสามง่ามของเธอ ฟันไปยังตัวยานขาดเป็นเสี่ยง ๆ ราวกับตัดกระดาษ

จักรพรรดินีเห็นสถานการณ์และรู้ได้ทันทีว่า การจู่โจมครั้งนี้ จะก่อให้เกิดการสูญเสียครั้งใหญ่

เธอลอยเข้าไปใกล้กับราชธิดาเพียงหนึ่งเดียวของเธอ

กล่าวอำลาและกระซิบประโยคบางอย่างที่ข้างหูซึ่งทำให้เจ้าหญิงน้ำตาไหลอาบแก้ม

ก่อนที่จะลอยตัวขึ้นไปพร้อมกับผลึกคริสตัลขนาดใหญ่ใจกลางเมือง

มันหมุนเร็วขึ้นเรื่อย ๆ และสาดแสงจ้าไปทั่วบริเวณ พร้อมกับแรงระเบิดครั้งใหญ่

 

เจ้าหญิงแห่งซูนิค เห็นภาพอันเลือนรางของจักรพรรดินีค่อย ๆ รวมร่างกับผลึกคริสตัลขนาดใหญ่

เหล่ารูปปั้นผู้พิทักษ์ กำลังพยายามจับชายขอบของเกาะเอาไว้

แสงวาบจากคริสตัลขนาดใหญ่ทำให้ทุกคนในบริเวณนั้นกลายเป็นผลึกคริสตัล

และเริ่มจมลงไปใต้มหาสมุทร เจ้าหญิงกระเด็น ไปไกลและตกจากพาหนะ

เธอกรีดร้องด้วยความเสียใจ เหล่ายานจากผู้มาเยือนกลายเป็นผลึกคริสตัล

และร่วงหล่นลงสู่ใต้ผืนน้ำ ไปพร้อมกับดวงตะวันที่กำลังจะลับของฟ้า

พร้อมกับสติที่พร่าเลือนของเจ้าหญิง …

 

บัดนี้ อาณาจักรลับแลแห่งนี้ ได้กลายเป็นผลึกคริสตัล และจมหายสาบสูญลงไปใต้ท้องทะเลลึก

ชาวเมืองบางส่วนที่รอดจากเหตุการณ์นี้ ต่างพากันขึ้นมาใช้ชีวิตกับพวกคนพื้น

โดยส่วนใหญ่ จะสูญเสียความทรงจากจากเหตุการณ์นี้  บ้างก็พยายามออกตามหา

เมืองที่จมลงใต้มหาสมุทร แต่ไม่มีใครได้พบ สันนิษฐาณว่า จักรพรรดินีและพลังของคริสตัล

ยังคงปกป้องชาวเมืองและทุกคนจากการตรวจพบ

ยานของผู้มาเยือนนั้น กลายเป็นผลึกคริสตัลเช่นกัน

และยังคงอยู่ภายใต้อาณาเขตของอาณาจักรลับแลต่อไป ...

 

ส่วนเจ้าหญิงของเมือง มีข่าวร่ำลือกันเกี่ยวกับเธอยังมีชีวิตรอดจากการดูแล

และช่วยเหลือของเหล่าสัตว์ทะเล โดยพามายังชายฝั่ง

และอยู่อาศัยกับพวกคนพื้นที่ใดที่หนึ่งบนโลกใบนี้ … 

 

“ย้อนเวลากลับไปตอนนั้น แม้จะพยายามห้ามเท่าไหร่

ท่านก็จะยังคงออกไปเผชิญหน้ากับผู้มาเยือน 

ข้าเคารพในการตัดสินใจของท่านจักรพรรดินีและท่านเสมอ

ว่าการเลือกในครั้งนี้ การตัดสินใจครั้งนี้ จะต้องมีแผนการที่วางเอาไว้แล้ว

ท่านคงได้รับแผนการทั้งหมดมาแล้ว จะยังคงมีความหวัง

เป็นดั่งเสียงที่ร่ำร้องอยู่ในภายในจิตใจของพวกเราตลอดไป  

 

ตอนนี้เราไม่มีบ้านให้กลับไป เราต่างอาศัยกันอย่างผู้ยากไร้

ถ้าท่านยังมีชีวิตอยู่ โปรดรับฟังท่วงทำนองนี้ เสียงร่ำร้องภายในจิตใจนี้

และนำความสงบสุบของพวกเรากลับมา

ฟื้นคืนความยิ่งใหญ่ของพวกเรา ความยิ่งใหญ่ของอาณาจักรซูนิค ด้วยเถิด 

 

พวกเราจะตามหาท่านให้พบ ...”

 

ที่ปรึกษาของจักรพรรดินีที่มีชีวิตรอดจากเหตุการณ์ในครั้งนั้น รำพึงรำพันในใจ

เขาพยายามสื่อสาร และส่งสัญญาณออกไป ถึงผู้รอดชีวิตและ ถึงบุคคลสำคัญ

ผู้ที่จะนำชาวเมือง และอาณาจักรกลับมาได้อีกครั้ง

“XONIA ZUNI CA’ TRIX”

ผู้ปกครองที่แท้จริงแห่งอาณาจักรซูนิค 

 

CEA’HUM ERESOV

MUIR DUPA AEMIN’MOS

DUPA AEMOMEM 

DUPA EPMI 

MUMIS SI TADA SUVONNUM


 

.

.

.

 

“แอบน่าสงสารเหมือนกันนะพี่สาว” เด็กชายคนหนึ่งนั่งอยู่บนกระเป๋าขนาดใหญ่

มองบุคคลปริศนากระโดดลงน้ำไป

“เรื่องอะไรเหรอ ? อะไร .. ที่น่าสงสาร ?”

หญิงสาวที่ยืนกอดอกอยู่ก้มลงมามองเด็กชายด้วยความสงสัย

“ก็ … การที่รอแบบมีความหวัง แต่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่น่ะสิ ... ”

เด็กชายพูดพลางทำสีหน้าเบื่อหน่าย

“เธอเบื่อเรื่องของการรอแบบมีความหวัง

หรือเรื่องของการที่เส้นเวลานี้เต็มไปด้วยภาษาโบราณกันแน่ล่ะ ?

นั่นไม่ใช่ความสงสารนะ นั่นคือความเบื่อหน่าย”

หญิงสาวมองจ้องมาที่เด็กน้อยอีกครั้งอย่างรู้ทัน

“ตอบว่าทั้งสองเลยได้ไหม เบื่อหน่ายภาษายาก ๆ และการต้องใช้คำราชาศัพท์อีก

คิดว่า การบันทึกเส้นเวลานี้ ใช้คำแบบปกติ คนอื่นเข้าใจง่าย ๆ น่าจะดีกว่านะครับ

ส่วนการรออย่างมีความหวัง เช่นการที่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะผ่านฝึกงานน่ะ...”

เด็กชายตอบด้วยเสียงประชดประชัน พลางส่งยิ้มแห้ง ๆ ให้กับหญิงสาว

มือก็กำลังจดบันทึกเรื่องราวบางอย่างด้วยความรวดเร็ว

“อย่าให้ความหวังถ้ามันไม่มี ฉันชอบประโยคนี้นะ แต่ฉันคิดว่า ครั้งนี้เหมือนจะมีความหวังนะ”

เธอยื่นรูปภาพของโซน่า เจ้าหญิงผู้สูญเสียความทรงจำจากอาณาจักรที่สาบสูญในชุดนักเรียน 

“อ้าาา เยี่ยมเลย ! ตอนนี้ก็น่าจะครบทุกคนแล้วนะครับ ที่เหลือก็แค่ปล่อยให้เป็นไป ...”

เด็กชายปิดสมุดจดและเปิดกระเป๋าออก ผมของเขากลายเป็นผลึกสีรุ้ง

ในขณะที่กำลังเดินเข้าไปในกระเป๋า ทั้งสองหายวับไปพร้อมกับผงสีรุ้งที่ลอยขึ้นฟ้า

 
bottom of page